2.2 เรียนรู้การฟังเสียงและวลีต่าง ๆ

การเรียนรู้ที่จะฟังเสียง และวลีต่าง ๆ จะช่วยให้ลูกน้อยของคุณสร้างทักษะการฟัง และการพูด

     ลูกน้อยจะเรียนรู้ในการตระหนักต่อเสียง แยกแยะเสียง ระบุเสียง และออกเสียงตามเสียงที่ได้ยินเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นคำ หรือเป็นวลีก็ตาม ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ที่มีความหมายที่เกิดขึ้นระห่างคุณและลูกน้อย  การเรียนรู้การฟังเสียง และวลีต่าง ๆ จะถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ในการเล่น และกิจกรรมทางสังคมที่เป็นกิจวัตร

     เด็กเล็กที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาการ จะเรียนรู้ที่จะเข้าใจคำศัพท์เบื้องต้นก่อน แล้วถึงจะเริ่มพูดคำแรกได้ ก่อนที่จะเรียนรู้การผสมคำ การใช้การเรียนรู้การฟังเสียง และวลีต่าง ๆ จะช่วยให้ลูกน้อยในแต่ละช่วงวัยนั้นได้มีพัฒนาการสมวัย จะมีขั้นตอนสำหรับการเดินทางของลูกน้อยกว่าจะกลายเป็นคู่สนทนาคนเก่งได้
     การเรียนรู้เสียง และวลีต่าง ๆ นั้น ไม่เพียงแต่จะให้ลูกน้อยได้ยิน เกิดความเข้าใจ และได้ฝึกเสียงแรกเริ่ม ตลอดจนคำศัพท์ต่าง ๆ มันมีความสนุกด้วย! ตัวอย่างเช่น “มู มู” คือวัว “ปู๊น ปู๊น” คือรถไฟ มันยังรวมถึงวลีต่าง ๆ ได้แก่ “โบกมือบ๊าย บาย” หรือว่า “อึ่มมม อร่อยมาก” ในขณะที่เสียงของคำ หรือ วลีเหล่านี้นั้นดูแสนง่าย สมองของลูกน้อยของคุณกำลังทำงานหนักมากในการพัฒนาด้านการฟัง ภาษา และการรู้หนังสือ

ทำไมการเรียนรู้การฟังเสียง และ วลีต่างๆ จึงสำคัญ

     การเรียนรู้ที่จะฟังเสียง และ วลีต่าง ๆ นั้นเป็นพื้นฐานขั้นเริ่มต้นในความเข้าใจภาษา การนำภาษามาใช้ และการพัฒนาการพูด โดยคุณสมบัติของเสียงนั้นทำให้เด็กเล็กที่มีการได้ยินปกติ หรือเด็กเล็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและใส่อุปกรณ์ช่วยการฟัง สามารถได้ยินได้ง่าย การตอบสนองต่อการฟังเสียง และ วลีต่าง ๆ นั้น จะทำให้คุณ และ ทีมงานครูหรือนักกระตุ้นพัฒนาการด้านการฟังเพื่อพัฒนาภาษาพูดทราบข้อมูลสำคัญด้านการได้ยินผ่านอุปกรณ์ของลูกน้อยของคุณ

กิจวัตร และ กิจกรรมการเล่นที่ใช้การฟังเสียงและวลีต่าง ๆ จะ

  • กระตุ้นความสนใจต่อเสียง
  • สร้างความจำว่าเสียงแต่ละเสียงนั้นแตกต่างกัน
  • ช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ว่าเสียงแต่ละเสียงมีความหมายที่ต่างกัน
  • เปิดโอกาสให้ลูกน้อยได้มีทดลองการออกเสียงหลายเสียง
  • เสริมศักยภาพพัฒนาการด้านความสนใจในการสื่อการ
นำมาปรับจาก Ellen Rhoades, Ed S, LSLS Cert. AVT
การฟังเรียนรู้การฟังเสียงและ วลีต่าง ๆ นั้น นำมาใช้อย่างไร
ใช้การใช้เรียนรู้การฟังเสียง และ วลีเพื่อมาสร้างการตระหนักต่อเสียง ผนวกความหมายลงไป

และเริ่มฝึกฝนภาษาให้เป็นประจำทุกวัน เสียง และวลีในระยะแรกเริ่มนั้นจะสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้กับลูกน้อยก่อนที่เขาจะก้าวหน้าไปพูดในระดับประโยค หรือขั้นมีบทสนทนา ให้จดเสียง หรือ วลีต่าง ๆ ที่ลูกน้อยได้ยิน และพูดเพื่อแบ่งปันข้อมูลให้กับครูหรือนักกระต้นพัฒนาการด้านการฟังเพื่อพัฒนาภาษาพูด

     เด็กวัยแรกเกิดจำเป็นต้องได้ยินเสียงและเรียนรู้ที่จะจำเสียงต่าง ๆ มากมาย ลูกน้อยที่มีความบกพร่องทางการได้ยินจะเรียนรู้ที่จะตระหนักต่อเสียงรอบ ๆ ตัวคุณสามารถช่วยลูกได้ด้วยการใช้กลยุทธ์ของการฝึกพูดผ่านทักษะการฟัง ฟังก่อนที่จะได้เห็น  ให้ลูกได้ยินเสียงก่อน ชี้ไปที่หู บอกชื่อเสียงเรียกเสียงนั้น แล้วถึงนำของออกมาให้ลูกเชื่อมโยงความหมาย

     ขณะที่คุณกำลังนั่งเล่นกับลูกน้อยอยู่นั้น ลองทำเสียงออกมา แล้วสังเกตดูปฏิกิริยาของลูก ว่าเขาหยุดการกระทำที่กำลังทำอยู่แล้วหันมาหาเสียง  หรือมองหน้าคุณไหม? สิ่งนี้บอกคุณว่าเขาได้ยินสียง คุณสามารถให้เขาจับคู่เสียงกับสิ่งของ โดยพาเขาไปรู้จักสิ่งของต่าง ๆ เมื่อคุณพูดชื่อสิ่งของนั้น ให้ทำเสียงของสิ่งนั้นตาม แล้วเข้าไปใกล้ๆ ลูก แล้วออกเสียงซ้ำอีกครั้ง

ทำการฟังให้ง่ายขึ้น โดยใช้เสียงที่แตกต่างกัน:

  • เสียงยาว เสียงสั้น และเปลี่ยนแปลงเร็ว พูดว่า “มู” แทนเสียงวัว แทนการใช้ “บี๊บ บี๊บ บี๊บ” แทนเสียงรถ
  • พยัญชนะที่มีเสียง กับ พยัญชนะที่ไม่มีเสียง (เสียงเบา) พูดว่า “อ้าาาา” สำหรับเครื่องบิน แทนการใช้ “ชู” แทนการนอนของเด็ก
  • เสียงสูง และ เสียงต่ำ พูด “อีอีอีอี” (ลากเสียงสระอี) สำหรับหนู แทนคำว่า “อู อู” เสียงนกฮูก

     สมองของลูกน้อยของคุณได้ทำการเชื่อมโยงการได้ยินเสียง กับคำใหม่ๆ วลีใหม่ ๆ มีเกี่ยวข้องกับเสียง หรือประสบการณ์นั้น ๆ ลูกน้อยของคุณจะเริ่มที่จะจำความแตกต่างของเสียง และ คำของสิ่งของแต่ละชนิด ตลอดจนการกระทำที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงหรือคำนั้น ๆ  หรือวลีที่ทำให้เกิดความหมาย ทั้งนี้ก็เพื่อจะพัฒนาให้สมองของการฟังนั้นเติบโตต่อไป ให้ใช้ท่วงทำนองเสียง การออกเสียงสูง ต่ำ เพื่อให้เสียง และ วลีนั้นง่ายต่อการจดจำ และเพิ่มความสนุกต่อลูกน้อยที่กำลังฟังอยู่ด้วย

ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ การเรียนรู้การฟังเสียงและวลีต่าง ๆ

“อ้าาาา ลูกได้ยินเสียงเครื่องบิน แม่ก็ได้ยินเหมือนกัน! เครื่องบินบินมาแล้ว” ยื่นเครื่องบินให้ลูก แล้วพูดว่า “ดูสิลูก เครื่องบินมีปีกไว้บิน แล้วก็มีล้อไว้วิ่งบนลาน”

ใช้ท่วงทำนองเสียง แล้วแสดงเสียงประกอบสิ่งของนั้น

“ฮี๊ฮ่อ น้ามาแล้ว” แล้วกระเดาะลิ้นคุณเพื่อทำเสียงม้ากำลังวิ่งเหยาะ ๆ ไปหาลูกน้อย

     เด็กวัยแรกเกิดถึง 6 เดือน สามารถเริ่มการเลียนแบบเสียง ในขณะที่คุณกำลังมีการตอบโต้การสื่อสารกับลูกน้อยไป-มา ให้คุณใช้แนวทาง การเรียนรู้การฟังเสียง และวลีต่าง ๆ มาใช้เพื่อกระตุ้นให้เขาออกเสียงและทดลอง ใช้กลยุทธ์การสอนพูดผ่านทักษะการฟัง ถึงตาลูก ในระหว่างการทำกิจวัตรนี้ หยุด รอ แล้วมองไปที่ลูกแบบคาดหวังให้ตอบโต้กลับ ให้เวลาลูกเพื่อให้เขาออกเสียง แล้วฝึกการใช้เสียงด้วยการใช้เสียงต่าง ๆ ที่เขาคุ้นเคย

     ในช่วงที่ลูกน้อยอยู่ในวัย 9-12 เดือน ลูกจะเริ่มเข้าใจการเรียนรู้การฟังเสียง และวลีต่าง ๆ รวมถึงความหมายนั้น ๆ คุณสามารถคาดหวังให้ลูกทำตามขั้นตอนกิจวัตรง่าย ๆ ระบุสิ่งของ ทำตามคำสั่งง่าย ๆ โดยใช้การฟังอย่างเดียว

     ในช่วงการเล่นกับสิ่งของ หรือของเล่นที่มีการเรียนรู้การฟังเสียง และวลีต่าง ๆ ที่หลากหลาย ให้ลองสังเกตุว่าลูกน้อยสามารถหยิยสิ่งของตามชื่อ จากกลุ่มของสิ่งของเดียวกันได้หรือไม่  “ฟังค่ะลูก มู แม่ได้ยินเสียงวัว วัวอยู่ไหนคะ?” สิ่งนี้จะทำให้คุณทราบว่าลูกคุณเข้าใจสิ่งของโดยการฟังชื่อ และเสียงของมันได้หรือไม่

     ใช่การเรียนรู้การฟังเสียงและวลีต่าง ๆ ในช่วงกิจวัตรประจำวัน อย่าลืมที่จะให้ลูกได้ยินวลี หรือคำสั่งก่อนโดยที่ยังไม่แสดงให้ดู ลองพูดว่า “มาหอมแก้มแม่ก่อน” “นั่นมันร้อน!” “ถึงตาลูก”

ใช้กิจกรรมการเล่นประจำวันในการฝึกให้ทำตามขั้นตอน หรือทำตามคำสั่งง่าย ๆ

ให้ทดลองกับตุ๊กตา: 

  • แกล้งทำเป็นว่าตุ๊กตากำลังร้องไห้ พูดว่า ชชชช น้องกำลังร้องไห้ เขาง่วงแล้ว”
  • บอกขั้นตอนลูกว่า ให้ตบหลังตุ๊กตา รอว่าลูกจะทำไหม แล้วพูดว่า “บอกน้องว่าหลับฝันดี หยุด และ รอ ลูกคุณอาจจะโบกมือ แล้วพูดว่า ฝันดี
  • วางตุ๊กตาลง หยุด และ รอ แล้วพูดว่าตื่นได้แล้วค่ะ” รอว่าลูกคุณจะจับตุ๊กตาขึ้นมา หรือคุณบอกให้ลูกหยิบตุ๊กตาขึ้นมา แล้วบอกว่า “ได้เวลาตื่นแล้วค่ะ”
เมื่อลูกได้ฝึกการฟังเสียงและ วลีต่าง ๆ ต่อเนื่องมาได้จนถึงช่วงอายุ 12-15 เดือนแล้ว เขาน่าจะเข้าใจเสียงและวลีต่าง ๆ ครบหมดแล้ว และสามารถนำมาใช้คำและวลีเหล่านั้น มาใช้ในการสื่อสารได้ คุณได้เป็นครูผู้สอนและช่วยให้เขาได้เชื่อมโยงความหมาย ผ่านการเรียนรู้การฟังเสียงของคำและวลีต่าง ๆ ผ่านกิจกรรม และประสบการณ์ในทุก ๆ วัน ในตอนนี้ ลูกน้อยของคุณเริ่มที่จะมีพื้นฐานที่แข็งแรงพอ โดยสามารถใช้คำในการสื่อสาร คุณสามารถนำพาเขาให้ไปไกลกว่าการเรียนรู้การฟังเสียง และวลีต่าง ๆ โดยการใช้การเรียนชื่อจริง หรือนำมาใช้ในบทสนทนาหากลูกน้อยใช้คำเรียกจริงของสิ่งของ ได้แก่ “หนูได้ยินเสียงหมา” แทนการใช้ “โฮ่งโฮ่ง” ให้ใช้กลยุทธ์ เพิ่มเติมจากสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ เพื่อให้บทสนทนานั้นเดินหน้าไปเรื่อย ๆ เกี่ยวกับหมา และเพื่อให้ลูกได้ขยายคำศัพท์ “ใช่ ลูกได้ยินเสียงหมา หมานั่นตัวใหญ่ทีเดียว มีขนเยอะแยะ แม่ว่าขนมันต้องนุ่มมากเลย”