3.4 การได้ยินของลูกในวัยเรียน

ตอนนี้ลูกคุณถึงวัยที่จะเข้าโรงเรียนแล้ว!

      ตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณได้พร่ำสอนลูกให้พูดแทนตนเองในเรื่องของการได้ยินของเขา ในที่สุด ตอนนี้ ในช่วงอายุ 5 ปี เขาจะเริ่มที่จะต้องพึ่งพาตนเองในการนำทักษะพูดแทนตนเองมาใช้ ไม่ว่าลูกของคุณจะเริ่มใส่อุปกรณ์ช่วยการได้ยินตั้งแต่วัยแรกเกิดหรือไม่ก็ตาม การพูดแทนตนเองจะเป็นทักษะสำคัญที่จะนำพาให้เขาประสบความสำเร็จ

     นอกเหนือจากการพร่ำสอนทักษะการพูดแทนตนเอง จะมีขั้นตอนที่คุณทำได้เพื่อช่วยให้การเดินทางของเขา ราบเรียบขึ้น ในช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาสำคัญที่เขาจำต้องพัฒนาทักษะต่าง ๆ เพื่อการนำไปใช้ที่โรงเรียน และการดำเนินชีวิต คุณสามารถช่วยลูกให้เติบโตเป็นตัวของตัวเอง คอยสนับสนุนการได้ยินที่เหมาะสมในวัยนี้ เนื่องด้วยเขาจำต้องใช้ในระหว่างอยู่ที่โรงเรียน สร้างมิตรกับเพื่อน ๆ ทำกิจกรรมต่างๆ ในโรงเรียน และอื่นๆ มากมายที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนในทุกวัน
อุปกรณ์ช่วยการได้ยินของลูกในวัยเรียน

      เด็กในวัยนี้โดยทั่วไปใส่อุปกรณ์ช่วยการได้ยินตลอดวัน (14-16 ชั่วโมง)  การฟังคือส่วนหนึ่งของบุคลิกไปแล้ว ดังนั้น เขาจะควรจะมีความกระตือรือร้นที่จะใส่อุปกรณ์ช่วยการได้ยินทันทีที่เขาตื่นแล้วใส่ตลอดวันจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน

     หากลูกไม่ต้องการใส่อุปกรณ์ช่วยการได้ยิน ให้คุณหาสาเหตุให้ได้ พูดคุยกับลูกก่อน แล้วนัดหมายพบผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยิน เป็นไปได้ว่าการได้ยินของลูกนั้นมีการเปลี่ยนแปลง หรืออุปกรณ์จำต้องมีการปรับ หากลูกมีความกังวล หรือโดนเพื่อนล้อเรื่องการใส่อุปกรณ์ช่วยการได้ยิน ให้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยิน ผู้ที่จะให้เทคนิคเพิ่มเติมกับคุณในการนำไปใช้ต่อได้

การดูแลอุปกรณ์

 ในวัยนี้ ลูกจะมีความสามารถจัดการกับอุปกรณ์ของเขาเองได้แล้ว อาจจะมีผ่านขั้นตอนการดูแล และแก้ไขปัญหาด้วยตนเองจากคู่มือ คุณเอง ควรจะคอบตรวจสอบอุปกรณ์ของลูกคุณอยู่อย่างสม่ำเสมอด้วย คุณต้องตรวจสอบเพื่อให้ทราบถึงข้อบกพร่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่นรอยแตก รอยหักของตัวเครื่อง ตัวเกี่ยวคล้องหู พิมพ์หู หากลูกใช้เครื่องช่วยฟัง สำหรับเครื่องแปลงสัญญาณประสาทหูเทียม คุณจะตรวจสอบสายเคเบิ้ล แม่เหล็ก ที่ใส่แบตเตอรี่ และที่ชาร์จแบตเตอรี่ ว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่  คุณครู และผู้ดูแลลูกของคุณควรจะได้รับการอบรมให้รู้วิธีการใช้ และตรวจสอบเครื่องช่วยการได้ยิน เพื่อให้เขาเกิดความคล่องในการหยิบจับ ความเข้าใจในการจัดการกับอุปกรณ์เพื่อให้เขาช่วยเหลือลูกของคุณในยามจำเป็นได้

ในวัยนี้ ลูกคุณจะสามารถสังเกตได้ หากอุปกรณ์ไม่ทำงาน และเขาสามารถแจ้งให้คุณ หรือครู หรือผู้ดูแลทราบได้ คุณครงวางแผนไว้ล่วงหน้า หากจำต้องมีการแจ้งปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์ให้กับทางโรงเรียน หรือ ณ สถานที่อื่นนอกเหนือจากที่บ้าน

พูดคุยกับลูกของคุณเพื่อวางแผนร่วมกันในการให้เขาได้ชี้แจงปัญหาที่พบไม่ว่าจะเป็น ณ ที่โรงเรียน หรือที่อื่น ให้ฝึกซ้อมทักษะการพูดแทนตนเอง โดยการถามว่าเขาจะทำอย่างไร ในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น หากว่าแบตเตอรี่หมด หรือเขาได้ยินครูไม่ชัด เหล่านี้คือทักษะพื้นฐานที่สำคัญ เพื่อความสำเร็จในวันข้างหน้า ดังนั้นคุณจึงจำต้องพร่ำสอนทักษะนี้ เพื่อให้เขาเกิดความมั่นใจในตนเอง เป็นตัวของตัวเอง เมื่อมาถึงเรื่องอุปกรณ์ช่วยการได้ยินของขา เขาจะได้มีความพร้อมที่พูดเกี่ยวกับการได้ยินของเขา และระบุความต้องการของเขาให้ผู้อื่นรับทราบได้อย่างมั่นใจ

ความสำคัญของการตรวจสอบการฟังประจำวัน

ไม่ว่าอุปกรณ์ช่วยการได้ยินนั้นจะเป็นอุปกรณ์ชิ้นใหม่ของลูก หรือลูกใส่มานานหลายปีแล้วก็ตาม การตรวจสอบการฟังประจำวัน และการทดสอบการฟัง ในตอนเช้าทุกเช้า ยังมีความสำคัญ เพราะการทดสอบนี้จะยืนยันว่า :

  1. อุปกรณ์ช่วยการได้ยินของลูกนั้นส่งเสียงคำพูดทุกเสียงไปยังสมองของลูก
  2. ลูกนั้นได้สังเกต และ ได้ฟัง เสียงคำพูดเหล่านั้น

     เมื่อลูกคุณได้เติบโตขึ้น เขาจะใช้เวลาอยู่บ้านน้อยลง เนื่องจากเขาไปใช้เวลาที่โรงเรียน เล่นกีฬา ฝึกซ้อมดนตรี หรือมีการซ้อมเต้น หรือไปบ้านเพื่อน ให้คุณพูดคุยกับลูก เพื่อให้มั่นใจว่าเขา มีความสบายใจ และมีความพร้อมในการจัดการกับอุปกรณ์ของเขาเอง สอนให้เขารู้จักที่จะพูดคุยกับครู กับเพื่อน กับโค้ช เกี่ยวกับการได้ยินและอุปกรณ์ช่วยเหลือของเขา ลูกคุณจำต้องมีความสามารถในกรแจ้งผู้ใหญ่หากเขามีปัญหา ไม่ว่าจะเรื่องการฟัง หรือเมื่อแบตเตอรี่ไม่ทำงาน

     คุณสามารถขอความช่วยเหลือจากคุณครู และ โค้ชของลูกได้ในการคอยตรวจสอบสิ่งที่ลูกได้ยินที่โรงเรียน และในที่อื่น ๆ นอกเหนือจากที่บ้าน ขอความร่วมมือให้ครูและโค้ช แจ้งถึงปัญหาต่าง ๆ ให้คุณทราบทันทีที่สังเกตุเห็นสิ่งที่น่ากังวล

การพูดแทนตนเอง

    ลูกคุณจำเป็นต้องรู้สึกสบายใจที่จะแสดงออกด้วยการพูดในห้องเรียน หรือมีความรับผิดชอบในการเรียน ในวัยนี้ ลูกควรจะรู้สึกสบายใจที่จะขอในสิ่งที่เขาต้องการ เพราะ ทักษะการพูดแทนตนเองที่คุณพร่ำสอนเขาไว้ สิ่งนี้จะทำให้เขามีความตั้งใจฟังผู้อื่น ตั้งใจเรียน และยินดีเข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ตามหลักศูตรการเรียน หรือแม้แต่ในกิจกรรมทางสังคม

ช่วยลูกให้เข้าใจตัวช่วยต่าง ๆ ที่จะอำนวยความสะดวกให้กับชีวิตเขาดังนี้ :

  • ตำแหน่งที่เขาพึงนั่งในห้องเรียน
  • การขอให้ครูพูดซ้ำ หรืออธิบายเพิ่มเติมให้ชัดเจน
  • ขอครูให้พูดทวนคำถามของเพื่อนในห้องเรียน
  • ขอให้ครูให้บทเรียนล่วงหน้า
  • ขอให้วีดีโอ มีแคปชั่น
  • ขอการเขียนแจกแจงขั้นตอน หรือวิธีการ ของงาน หรือการบ้านที่ได้รับมบหมาย

 

     ลูกคุณควรเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับทางโรงเรียน คุณอาจจะเป็นผู้ที่ช่วยเตรียมตัวให้เขาประสบความสำเร็จในการสร้างทักษะการพูดแทนตนเอง ก่อนที่โรงเรียนจะเปิด และต่อเนื่องไปตลอดปีการศึกษา ลูกคุณควรที่จะรู้สึกมั่นใจที่จะค้นหาผู้สนับสนุนที่จะมอบสิ่งอำนวยความสะดวกที่โรงเรียน เพื่อที่จะช่วยเขาให้ประสบความสำเร็จในการเรียน การสอนเขานั้น ไม่ได้เป็นเพียงความ “โอเค” แต่ มันเป็นสิ่งสำคัญที่ฝึกให้เขาเป็นเสียงให้กับตนเองได้

 

หากการได้ยินของลูกคุณนั้นมีสถานะมั่นคง มีความเสถียรตลอดมา ผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยิน อาจจะขอให้มีการตรวจการได้ยิน อย่างน้อยเป็นเวลาหนึ่งครั้งต่อปี หากลูกคุณใช้ประสาทหูเทียม การนัดหมายการปรับเครื่องอาจจะเป็นการนัดหมายทุก ๆ หกเดือน หรือเมื่อมีความจำเป็นต้องปรับเครื่อง

เมื่อใดที่พึงนัดหมายผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยิน

     จำไว้ว่าให้ติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยินทุกครั้งที่คุณมีคำถามเกิด หรือเกิดความกังวลเกี่ยวกับการได้ยินของลูก หรือเกี่ยวกับอุปกรณ์ ความกังวลอาจจะมาจากการเปลี่ยนแปลงของลูกในเรื่อง:

การตอบสนอง

  • มักจะถาม “ฮ๊ะ?” “อะไรนะ” บ่อย ๆ
  • พลาดเสียงหลายเสียง บางส่วนของคำ หรือบางส่วนของประโยค
  • ตอบสนองต่อเสียงบางเสียงเปลี่ยนไป ในช่วงของ การตรวจสอบการฟังประจำวัน
  • ตอบคำถามไม่ถูกต้อง (เช่นพูดว่า “ใช่” เมื่อคำถามเป็นประโยคปลายเปิด)
  • ไม่ตอบสนองในระยะไกล เช่นจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่ง หรือในระยะที่ปกติได้ยิน

การพูด

  • คุณภาพของเสียงคำพูดไม่ชัดเจน
  • มีความล่าช้าในการพัฒนาโครงสร้างประโยค

พฤติกรรม

  • ขาดการเข้าสังคมกับเด็กอื่น ๆ
  • ไม่ทำตามคำสั่งที่โรงเรียน
  • ไม่มีส่วนร่วมในบทสนทนา
  • อยู่ ๆ เลือกที่จะอยู่คนเดียว

คุณควรจะแจ้งถึงสิ่งที่น่ากังวลเหล่านี้กับผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยินโดยทันที!

จำไว้ว่าลูกน้อยของคุณต้องเข้าถึงเสียงทุกเสียง

เพื่อที่เขาจะจะสามารถฟังได้ และพูดได้ ตามเป้าหมายในการสอนพูดผ่านทักษะการฟัง