ฝึกฝนกลยุทธ์ และ เทคนิคการพูดผ่านการฟัง
กลยุทธ์ และ เทคนิคการพูดผ่านการฟัง เป็นแนวทางการสอนเฉพาะทาง ที่จะช่วยคุณและลูกน้อยที่ มีความบกพร่องทางการได้ยิน หรือหูหนวก ให้ฟังได้และพูดได้
ครูหรือนักกระตุ้นพัฒนาการด้านการสอนการฟังเพื่อการพัฒนาภาษาพูด จะสอนกลยุทธ์ต่าง ๆ ให้คุณ โดยคุณจะนำกลยุทธ์ต่าง ๆ มาพัฒนาเป็นเทคนิค และ แนวทางสอน พัฒนาเป้าหมายในการสอนลูกน้อย ด้วยตัวคุณเองตามระดับความสามารถและทักษะ ของลูกน้อยของคุณ คุณสามารถเริ่มใช้กลยุทธ์เหล่านี้ในทุก ๆ วัน ร่วมกับบุคคลในครอบครัว ให้เป็นกิจวัตร เพื่อให้ลูกน้อยกลายเป็นนักฟังที่ดี และเริ่มพูดได้
การที่คุณเป็นผู้กำกับ หมายถึงคุณจงใจชี้แนะให้ลูกคุณฟัง
ในฐานะผู้ฟังที่กำลังฝึกที่จะฟังให้เป็น ลูกน้อยของคุณยังไม่รู้จักเสียงที่เขาได้ยิน หรือไม่ทราบว่าการฟังนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เขาจึงต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจเสียงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเขาเพื่อให้สมองของลูกน้อยเริ่มตีความหมายจากเสียงที่ได้ยิน กลยุทธ์นี้เปิดโอกาสให้ลูกน้อยเริ่มที่จะตระหนักต่อเสียง และเกิดความสนใจต่อเสียง รวมถึงเสียงคำพูดที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเขา สิ่งนี้ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าเสียงใดคือเสียงที่มีความสำคัญรูปแบบการสอนนั้นเป็นอย่างไร?
เรียกความสนใจจากลูกน้อยเมื่อเกิดเสียง หรือเมื่อได้ยินเสียงของบุคคลในครอบครัวพูด แล้วทำสิ่งต่อไปนี้ ก่อน ที่คุณเริ่มจะพูดกับลูกน้อย- ชี้ไปที่หูของคุณเพื่อสร้างความสนใจ แล้วพูดว่า “ฟังค่ะลูก! (แล้วหยุดพูด) แม่ได้ยิน (แล้วหยุดพูด)“ หรือ ก่อนที่จะพูดกับลูกน้อย เรียกชื่อลูก แล้ว พูดว่า ”(ชื่อลูก) ฟังค่ะลูก! (หยุดพูด)“ แล้วเริ่มพูดกับลูก
- หยุด แล้ว สังเกต ว่าลูกน้อยตระหนักต่อเสียงหรือไม่ หากว่าใช่ คุณสามารถช่วยให้เขารู้จักที่จะฟัง และเกิดความสนใจขึ้นได้ “ช่าย! แม่ได้ยิน (ชื่อของสิ่งของหรือบุคคลที่ทำเสียงนั้น ๆ )” หากคุณกำลังบอกอะไรเขา ให้รอจนกว่าเขาตอบสนองการที่คุณบอกให้เขา “ฟัง” ก่อนที่คุณจะเริ่มพูด
เมื่อคุณเป็นผู้กำกับ คุณกำลังพัฒนาความสนใจต่อการฟังให้ลูกน้อย
พยายามชี้แนะเสียงพร้อมกับบอกชื่อเรียกของเสียงเหล่านั้น
กลยุทธ์นี้ ใช้ร่วมไปกับการ เป็นผู้กำกับ หลังจากที่คุณได้เป็นผู้กำกับเพื่อคอยบอก กำกับให้ลูกน้อยฟัง คุณก้าวไปอีกขั้นหนึ่งข้างหน้าได้ คือระบุชื่อสิ่งของที่มาของเสียงเหล่านั้น แล้วหยุด เพื่อสังเกตว่าลูกน้อยมีปฏิกริยาอย่างไร หลังจากนั้นแล้วคุณเรียกชื่อสิ่งของที่มาของเสียงนั้น แล้วพูดเกี่ยวกับสิ่งนั้นให้มากขึ้น คุณกำลังเชื่อมโยงเสียงกับคำที่เราใช้เรียกสิ่งนั้นพร้อมให้ภาษาอธิบายสิ่งนั้นรูปแบบการสอนนั้นเป็นอย่างไร?
- ชี้แนะให้ลูกน้อย “ฟังค่ะลูก! (แล้วหยุดพูด) แม่ได้ยินเสียง (แล้วหยุดพูด) แม่ได้ยินเสียงเครื่องบิน!”
- หยุดรอ แล้ว ชี้ไปยังสิ่งของตามแหล่งที่มาของเสียงนั้น ๆ
- หากลูกน้อยของคุณยังเล็กมาก ให้คุณเลียนแบบเสียง “อ้าาาาาา!”
- เสร็จแล้วเพิ่มเติม ด้วยประโยคบอกเล่าแบบง่าย ๆ “เครื่องบินมันกำลังบินอยู่ บินอยู่สูงมากเลย! บินเร็วมากด้วย”
เมื่อคุณใช้กลยุทธ์ คอยชี้แนะ คุณกำลังเน้นเรื่องความสนใจในการฟัง พร้อมกับ การเสริมความรู้ของภาษาพูดไปด้วย
คุณสามารถทำให้การฟังนั้นง่ายขึ้นโดยการควบคุมสิ่งแวดล้อม
แล้วเน้นไปที่เสียง และคำต่าง ๆ ที่คุณต้องการให้ลูกได้ยิน สิ่งนี้จะช่วยลูกน้อยของคุณได้เรียนรู้ที่จะฟัง การจำกัดเสียงรบกวนให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด เอียงตัว หรือขยับตัวเข้าใกล้ลูกน้อยให้มากขึ้น แล้วทำตัวให้เป็นแม่ดราม่า หรือ พ่อดราม่า มีเทคนิคเฉพาะที่จะช่วยคุณ โดยหากตัดเสียงรบกวนไม่ได้ ให้เปลี่ยนวิธีการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกน้อย เพื่อให้ลูกน้อยได้ยินคุณได้ชัดเจนมากขึ้น ในกิจกรรมทุก ๆ กิจกรรม หรือในกิจวัตรประจำ ๆ ให้คุณคิดถึงเสียงรบกวนที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว คิดว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้างเพื่อให้ลูกน้อย ได้ยินเสียงคำพูดของคุณได้ชัดเจนทุกคำ?รูปแบบการสอนนั้นเป็นอย่างไร?
เมื่อคุณกำลังจะนำของเล่นออกมาเล่น หรือทำกิจวัตรประจำวันบางอย่างร่วมกับลูกน้อย ให้ลูกได้ยินคำพูดของคุณก่อน ก่อนที่คุณจะนำของเล่นออกมา หรือลงมือกระทำในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เริ่มเปิดเพลง หรือ เล่นนิ้วมือ ก่อนที่จะทำการเคลื่อนไหว เมื่ออ่านนิทานให้ลูกน้อยฟัง ให้พูดคุยเกี่ยวกับหน้าถัดไปในหนังสือ ก่อนที่จะเปิดออก- ในขณะที่ไม่มีของเล่นในมือ ให้พูดว่า “ฟังค่ะลูก! แม่มีรถไฟ”
- แล้วพูดเกี่ยวกับของเล่นนั้น “แม่ได้ยินเสียงรถไฟ! ปู๊น ปู๊น!”
- ว่าแล้วคุณก็ถึงจะนำรถไฟออกมาให้ลูกเห็น แล้วพูดชื่ออีกว่า “นี่ไง รถไฟของลูก ปู๊น ปู๊น! รถไฟวิ่งเร็วมาแล้ว”
- คุณถามลูกน้อยได้ “ลูกอยากเล่นรถไฟไหมคะ?” แล้วหยุดรอ เพื่อดูว่าลูกเอื้อมมือจะมาหยิบรถไฟไหม หากลูกเอื้อมมือจะมาหยิบรถไฟ ให้แม่พูดว่า “ใช่! ลูกอยากเล่นรถไฟ นี่ไงรถไฟ! ดันรถไฟออกไป รถไฟกำลังวิ่งแล้ว ปู๊น ปู๊น รถไฟวิ่งแล้ว”
เมื่อคุณใช้กลยุทธ์ ฟังก่อนที่จะได้เห็น คุณกำลังพัฒนาความสนใจในการฟัง เน้นย้ำทักษะการฟังของเขา พร้อมส่งเสริมความรู้ทางภาษาให้กับลูกน้อยด้วย
เมื่อคุณควบคุมสิ่งแวดล้อมในการฟัง การที่คุณจะเน้นเรื่องเสียง คำพูด และภาษาพูดที่ใช้กับลูกน้อยให้เขาได้ยิน เท่ากับว่าคุณช่วยทำให้การฟังนั้นง่ายขึ้น
คุณสามารถทำให้การฟังนั้นง่ายขึ้นโดยการควบคุมสิ่งแวดล้อม แล้วเน้นไปที่เสียง และคำต่าง ๆ ที่คุณต้องการให้ลูกได้ยิน สิ่งนี้จะช่วยลูกน้อยของคุณได้เรียนรู้ที่จะฟัง การจำกัดเสียงรบกวนให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด เอียงตัว หรือขยับตัวเข้าใกล้ลูกน้อยให้มากขึ้น แล้วทำตัวให้เป็นแม่ดราม่า หรือ พ่อดราม่า มีเทคนิคเฉพาะที่จะช่วยคุณ โดยหากตัดเสียงรบกวนไม่ได้ ให้เปลี่ยนวิธีการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกน้อย เพื่อให้ลูกน้อยได้ยินคุณได้ชัดเจนมากขึ้น ในกิจกรรมทุก ๆ กิจกรรม หรือในกิจวัตรประจำ ๆ ให้คุณคิดถึงเสียงรบกวนที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว คิดว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้างเพื่อให้ลูกน้อย ได้ยินเสียงคำพูดของคุณได้ชัดเจนทุกคำ?รูปแบบการสอนนั้นเป็นอย่างไร?
สำหรับกิจกรรมทุก ๆ กิจกรรม หรือในกิจวัตรประจำ ๆ ให้สังเกต เรียนรู้ในการฟังเสียงรบกวนที่เกิดขึ้นรอบตัวคุณ • ควบคุมเสียงรบกวน มีหลายวิธีการในตัด หรือลดเสียงรบกวนเพื่อให้ลูกน้อยสามารถจดจ่อกับสิ่งที่เขาจำต้องได้ยิน • เปลี่ยนสิ่งที่คุณจะพูด ให้คุณพยายามเพิ่มการเน้นคำ เช่นนำคำมาขับร้อง หรือกระซิบ เพื่อให้ลูกน้อยได้ยินชัดเจนขึ้นเมื่อคุณใช้กลยุทธ์ การทำให้การฟังง่ายขึ้น คุณกำลังพัฒนาความสนใจในการฟัง และส่งเสริมการเรียนรู้ของภาษาพูด
การควบคุมเสียงรบกวน
โดยธรรมชาติแล้วนั้น บ้านคือแหล่งที่มีเสียงรบกวน คุณควรควบคุมเสียงรบกวนเหล่านั้นให้ลดลง หรือตัดออกไป เนื่องจากเสียงรบกวนจะขัดขวางความชัดเจนของเสียงที่สำคัญ เสียงคำพูด ตลอดจนภาษาของลูกน้อยของคุณ เนื่องจากลูกน้อยของคุณนั้น ยังไม่ได้พัฒนาทักษะของภาษาพูด เขาจะไม่สามารถเติมเสียง หรือคำที่ขาดหายไปให้เต็มได้ ในการที่เขาคือผู้ที่กำลังหัดฟังในขั้นเริ่มต้น ลูกน้อยของคุณต้องการสิ่งแวดล้อมที่เงียบ หรือที่ๆ มีเสียงรบกวนน้อยที่สุดการทำให้บ้านเงียบลง
เมื่อพูดถึงการทำบ้านเพื่อใช้ในการฝึกการใช้การฟังในการพัฒนาภาษาพูดนั้น บ้านยิ่งเงียบ จะยิ่งดี 🗸 ออกไปเดินเล่น เดินรอบ ๆ บ้านในช่วงเวลาต่าง ๆ ของวันเพื่อคอยสังเกต และ ฟัง เสียงต่าง ๆ ค้นหาแหล่งที่มา ตำแหน่งของเสียงเหล่านั้น เพื่อให้คุณทราบได้ว่าจะจัดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรได้ 🗸 ความเงียบ พบกับคุณภาพของเวลา ลองพิจารณาการเปิดเครื่องล้างจาน เครื่องซักผ้า หรือใช้เครื่องดูดฝุ่นภายหลังจากเวลานอนของลูก หากงานบ้านเหล่านั้น จำต้องกระทำในช่วงของการฟัง ให้ปิดประตูห้องลูกจากห้องอื่น ๆ ที่เครื่องใช้ไฟฟ้ากำลังทำงาน 🗸 ระลึกถึงเสียงของเครื่องใช้ไฟฟ้าก่อนซื้อ เมื่อคุณจะซื้อเครื่องไฟฟ้ามาใช้ เช่น พัดลม เครื่องล้างจาน ให้สอบถามเรื่องเสียง หรือระดับเสียงของเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น ๆ เครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิดระบุความดังในขณะเครื่องทำงาน ให้เลือกค่าความดังที่ต่ำสุดเท่าที่จะทำได้ 🗸 ปิด และ จดจ่อ หลีเลี่ยงเสียงรบกวน เช่นเสียงวิทยุ หรือ เสียงโทรทัศน์ ปิดเมื่อไม่ได้อยู่หน้าจอ ดูโทรทัศน์ หรือฟังวิทยุ 🗸 ใช้แอปพลิเคั่นตรวจสอบเสียง ดาว์นโหลดแอปพลิเคชั่นที่สามารถวัดค่าของเสียงรอบ ๆ ตัว ไว้ใช้ เพื่อวัดค่าของเสียงตามจุดต่าง ๆ ของบ้าน 🗸 ดูดซับเสียง วางชิ้นพรมบนพื้นไม้ หรือใช้หมอนอิงจัดวาง ติดตั้งผ้าม่าน แผ่นติดผนังเพื่อช่วยดูดซับเสียงสะท้อน เสียงก้องภายในห้องของบ้านการเปลี่ยนวิธีการพูดของคุณ
เมื่อคุณพูดคุยกับบุคคลทั่วไป หรือบุคคลในครอบครัว คุณจะใช้เสียงในระดับการสนทนาปกติ คือไม่ดัง หรือ เบาเกินไป หากลูกน้อยของคุณมีความลำบาในการได้ยิน การพูดเสียงให้ดังขึ้น ดูเหมือนว่าจะช่วย แต่จริง ๆ แล้วการพูดเสียงดัง ๆ จะทำให้การฟังนั้นลำบากมากขึ้น วิธีที่ดีที่สุดคือการพูดในระดับเสียงปกติ ซึ่งจะเป็นระดับที่ลูกจะได้ยินดีกว่าและชัดเจนกว่า ระยะห่าง คือยิ่งมีความห่างจากหู หรืออุปกรณ์ช่วยการฟังของลูกน้อย ยิ่งเป็นการยากที่สมองของลูกน้อยจะรับข้อมูลการได้ยินอย่างครบถ้วน การอยู่ใกล้ลูกน้อยเมื่อเขายังเป็นเด็กแรกเกิดนั้นง่ายกว่า แต่หากเมื่อลูกน้อยเริ่มเจริญเติบโต เขาจะวิ่งไป มา ให้อยู่ใกล้เขาภายในระยะ 1 เมตร ในเวลาที่คุณต้องการพูดคุยกับเขา สิ่งนี้มีความสำคัญมากเมื่อคุณกำลังอยู่ในที่ ๆ มีเสียงรบกวนการเน้นเสียง
การเน้นเสียงหมายความถึงการเปลี่ยนวิธีการที่คุณจะเปล่งเสียง หรือเปล่งเสียงคำพูด โดยการเน้นเสียงเฉพาะในส่วนที่ลูกน้อยคุณไม่เคยได้ยินมาก่อน ภายหลังจากที่คุณทำไป แล้วลูกตอบสนอง ให้คุณส่งเสริมการเรียนรู้โดยการพูดซ้ำอีกครั้งในระดับเสียงปกติ ตัวอย่างวิธีการเน้นเสียง หรือเน้นคำเปลี่ยนจังหวะของคำสำคัญ (เสียงขึ้น-ลงเหมือนเสียงร้องเพลง)
ร้อง “ชื่อลูก แม่อยู่ที่นี่ (ลากเสียงนี่ อีอีอี)“
หยุดก่อนคำที่จะใช้เน้น
“ฟังแม่นะ แม่มี” (หยุด) “ชิปส์”
เอนตัวไปใกล้ไมโครโฟนของอุปกรณ์ลูกน้อยสำหรับคำที่จะเน้น
“ฟังแม่นะ แม่ขอ” (เอนตัว) “ฟองน้ำ”
พูดคำที่จะเน้นดังขึ้นเล็กน้อย โดยไม่เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวองปากให้มากเกินความจำเป็น โดยเฉพาะในคำที่มีเสียงเบา
“เราทานข้าวด้วยช้อนและ ส้อม”
ใช้ชะลอการออกเสียงในคำที่จะเน้น
“แม่เห็นชิ้นบล็อก อยู่..บน..ชั้น”
กระซิบข้างหูเมื่อต้องการเน้นคำที่มีเสียงเบา
“แม่จะใส่เสื้อ” ถ้าลูกยังไม่ตอบสนองให้กระซิบข้างหู
ภาคย์เสียงประกอบการกระทำ
เปรียบเสมือนดังการดูกีฬา คนภาคย์การแข่งขันกีฬานั้นจะพูดไปพร้อม ๆ กับการละเล่นของนักกีฬา คุณก็สามารถที่จะใช้กลยุทธ์การภาคย์เสียงประกอบการกระทำได้เช่นกัน
เพื่อการอธิบายประสบการณ์ของลูกน้อยของคุณเพิ่มเติม
เปรียบเสมือนดังการดูกีฬา คนภาคย์การแข่งขันกีฬานั้นจะพูดไปพร้อม ๆ กับการละเล่นของนักกีฬา คุณก็สามารถที่จะใช้กลยุทธ์การภาคย์เสียงประกอบการกระทำได้เช่นกัน เพื่อการอธิบายประสบการณ์ของลูกน้อยของคุณเพิ่มเติม
สิ่งนี้มอบโอกาสให้ลูกน้อยของคุณได้ยินคำพูดมากมาย เด็กน้อยพึงได้ยินคำพูดมากเท่าใดในขวบปีแรก ๆ ของการเติบโต? มีงานวิจัยระบุว่าเด็กน้อยที่ได้ยิน 40 ล้านคำภายในระยะเวลา 4 ปีแรกของชีวิตจะมีศักยภาพในการพัฒนาทักษะการสนทนาได้เร็วกว่า สามารถเรียนรู้การอ่านได้ตามวัย สามารถเรียนหนังสือได้ดีกว่า และได้รับโอกาสในการสื่อสารในอนาคตที่มากกว่า การใช้กลยุทธ์ภาคย์เสียงประกอบการกระทำนั้นจะช่วยให้คุณทำใกล้เคียง 40 ล้านคำภายในเวลาที่ลูกน้อยมีอายุได้ 4 ปีรูปแบบการสอนนั้นเป็นอย่างไร?
- พูดหรืออธิบายในสิ่งที่คุณกำลังคิด หรือ กำลังทำ o “ลูกหิวน้ำแล้ว ไปกัน เราไปหยิบโถน้ำจากตู้เย็นกัน” o ใช้กลยุทธ์ ฟังก่อนที่จะได้เห็น แล้วพูดว่า “เปิดตู้เย็นกัน” แล้วค่อยเปิดตู้เย็น o ภายหลังจากที่เปิดตู้เย็นแล้ว คุณพูดว่า “อุ้ย! ตู้เย็นนี้เย็นจังเลย ลูกจะดื่มอะไรดีคะ? มีน้ำส้ม มีนม มีน้ำแอ๊ปเปิ้ล ลูกจะเอาอะไรคะ?” o หยุด และ รอ “อ๋อ ลูกจะเอานม นมอร่อยมากเลย เรามาหยิบนมออกจากตู้เย็น แล้วไปหาแก้วสะอาด ๆ กัน นี่ไงแก้วสะอาด แม่กำลังรินนมใส่แก้วน้า ได้แล้ว นี่ค่ะ นมให้ลูกดื่มนะคะ โอ้ ลูกหิวน้ำมากเลย ดื่มนมใหญ่เลย”
- ใช้วลี และคำสั่งที่คุ้นเคย เพื่อช่วยให้ลูกน้อยเข้าใจภาษาในกิจวัตรประจำวัน สร้างภาษาด้วยการเพิ่มคำใหม่ๆ หรือ วลีใหม่ ๆ
- ใช้เสียงพูดในระดับ และอัตราที่เป็นปกติ มีการหยุด แล้ว เน้นคำที่ต้องการเน้นในประโยคที่คุณใช้ เพื่อให้ลูกน้อยมีเวลาที่จะตอบโต้ และเข้าร่วมการสนทนา
เมื่อคุณใช้กลยุทธ์ การภาคย์เสียงประกอบการกระทำนั้น คุณกำลังส่งเสริมความรู้ด้านภาษา ด้วยการให้ภาษาพูดในช่วงการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกน้อย และผู้ดูแลคนอื่นตลอดวัน กลยุทธ์นี้เรียกอีกชื่อว่า พูดถึงสิ่งที่เราจะทำ เพราะเรากำลังพูดออกเสียงมาให้กับตนเองฟัง
เวลาคุณพูดคุยกับลูกน้อย ด้วยความคาดหวังการตอบสนองกลับจากเขา คุณกำลังใช้กลยุทธ์ ถึงตาลูก
เป้าหมายของกลยุทธ์นี้คือเพื่อการกระตุ้นลูกน้อยให้พูดและเป็นการส่งเสริมทักษะการฟังและภาษาให้ลูกน้อย ให้กลายเป็นคู่สนทนาที่เต็มไปด้วยความสามารถ ให้คุณใช้กลยุทธ์นี้ในการสอนลูกน้อยให้รู้คิวการพูดในบทสนทนา สิ่งนี้จะช่วยส่งเสริมให้ลูกมีภาษาพูดในระดับก้าวหน้า รวมไปถึงทักษะการใช้ความคิด ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการแสดงออกทางความคิดและความคิดเห็นต่าง ๆ เมื่อคุณนำกลยุทธ์นี้มาใช้ แล้วลูกน้อยมีการตอบโต้กลับไป กลับมา ในบทสนทนา นี่คือการที่เขารู้จักคิวของเขาในการตอบโต้ไป-มา การตอบโต้ไป-มา การ “ตอบโต้ไป-มา” ทำให้คุณนึกถึงการเล่นเทนนิสไหม? มันเป็นเทคนิคการสื่อสารอย่างหนึ่งที่สำคัญสำหรับการพัฒนาสมองในระยะแรกเริ่มของเจ้าตัวน้อย คุณสามารถที่จะใช้เทคนิคการตอบโต้ไป-มาได้ตั้งแต่ลูกในวัยทารกกำลังเริ่มออกเสียงแอะ ๆ เพื่อก้าวสู่การพูดคำแรกของเขา เมื่อลูกน้อยของคุณกำลังตอบโต้ไป-มาในการสนทนากับคุณ การเชื่อมโยงต่าง ๆ ในสมองจะเกิดขึ้น และมีความแข็งแกร่งขึ้น การเชื่อมโยงนี้มีความสำคัญสำหรับการฟัง การพัฒนาภาษาพูด และ การอ่านรูปแบบการสอนนั้นเป็นอย่างไร?
ให้คุณนึกภาพว่าการเสริฟเวลาเล่นเทนนิส เป็นเวลาถึงคิวของลูกคุณที่จะสื่อสารกับคุณ มันอาจจะเป็นเพียงการยิ้ม การมอง การเคลื่อนไหว เช่นการเตะขา หรือการเปล่งเสียงเพื่อให้คุณสนใจ การกระทำเหล่านี้คือการเสริฟลูกเทนนิสมาให้ โดยลูกจะมีความคาดหวังให้คุณตอบสนองกลับไป การตีลูกกลับ หรือตอบกลับลูกน้อยของคุณ จะเป็นการตอบรับความพยายามของลูกน้อย อาจจะเป็นการยิ้มหรือหัวเราะกลับ แต่การพูดตอบกลับนั้นจะยิ่งดีกว่า “ไหนคะ ลูกไม่ยิ้มให้แม่เช้านี้เหรอ?” การสื่อสารจะตอบโต้ไป-มา วิธีนี้จะทำได้ในทางกลับกันด้วย เมื่อคุณเริ่มคุยก่อน เช่น “สวัสดีค่ะลูก เช้าแล้ว ตื่นหรือยังคะ?” เพื่อให้ลูกตอบกลับด้วยรอยยิ้ม หรือการเปล่งเสียง“เมื่อลูกน้อยวัยแรกเกิดหรือวัยเตาะแตะเริ่มออกเสียง แสดงท่าทาง หรือร้องไห้ โดยผู้ปกครองตอบสนองกลับอย่างเหมาะสม ด้วยการสบตา การใช้คำพูด หรือ การกอด การเชื่อมโยงโดยธรรมชาติจะถูกสร้างขึ้นและมีความแข็งแกร่งขึ้น ในสมองของเด็กน้อยเพื่อการส่งเสริมการพัฒนาการด้านการ สื่อสารและทักษะทางสังคม”
The Harvard Center on the Developing Child จะมีเทคนิคเฉพาะที่คุณสามารถนำมาใช้ ในการช่วยให้ลูกน้อยรู้จักที่จะตอบโต้ไป-มา ทักษะการผลัดกันจะเป็นทักษะสำคัญในการนำมาใช้เพื่อที่จะเป็นผู้ที่จะฟัง และเป็นคู่สนทนาตัวยง🗸 การหยุด การรอ และการเอนตัวเข้าไปใกล้
ในช่วงการทำกิจวัตรประจำวันกับลูกน้อย ให้คุณหยุดในขณะกำลังทำกิจกรม แล้วมองหน้าลูกแบบคาดหวังให้เขาตอบโต้ รอจนเขาแสดงกิริยาอาการหรือบอกว่าให้คุณทำอะไร- ขณะที่กำลังจะช้อนตัวลูกมาอุ้ม ให้พูดว่า “แม่กำลังจะอุ้มลูกแล้วนะ” เสร็จแล้วรอ พร้อมมองหน้าลูกน้อยแบบคาดหวังให้เขายกแขนสองข้างขึ้น
- ก่อนจะเปิดประตู หรือเปิดฝากล่อง หรือเปิดห่อพัสดุ ให้รอก่อนที่จะเปิด แล้วมองหน้าลูกแบบคาดหวังให้เขาพูด “เปิด” ให้คุณทำท่าดีใจ แล้วพูดซ้ำว่า “ลูกพูดว่า เปิด แม่กำลังจะเปิดตู้นะคะ เห็นมั้ย ถ้วยของลูกทั้งนั้นเลย”
🗸 ให้ลูกมีตัวเลือก
หากว่าคุณถามคำถามลูกแล้วลูกไม่ตอบสนองใด ๆ ให้เปลี่ยนวิธีการถามใหม่ โดยการให้ตัวเลือกกับเขา- ”ลูกจะกินอะไรดีคะ?“ (ไม่ได้คำตอบ) ”ลูกจะกินข้าว หรือขนมปังคะ?”
- เมื่อลูกตอบโต้กลับมา คุณสามารถทวนคำกลับไปเพื่อให้เป็นบริบทต่อเนื่องเพื่อให้ลูกได้ฟังเต็มประโยค
- หากลูกพูดว่า ”ข้าว” คุณจะตอบโต้ว่า “อึ๋มน่ากินจังเลย! ลูกจะกินข้าว”
🗸 การเว้นให้เติมคำสุดท้าย
การช่วยลูกน้อยให้พูดคำ หรือวลี โดยการ หยุดพูดคำ หรือวลีสุดท้ายของประโยคที่เขาคุ้นเคย แล้วเอนตัวไปใกล้ ๆ มองหน้าเขาแบบคาดหวังให้เขาพูดคำที่ขาดหายไป ใช้เสียงขึ้น เสียงลงแบบการร้องเพลงเพื่อให้เขาสนใจ การเว้นให้เติมคำสุดท้ายนั้นจะนำมาใช้ได้ดี เวลาลูกน้อยกำลังเรียนรู้ที่จะจับคำพูดมารวมกันแต่ยังนำมาใช้ไม่ได้ด้วยตนเอง- “หมวกของลูก ไว้ใส่บน.….”
- “เรานั่งบนเก้าอี้ แล้วเรานอนบน……”
- “ช้าง ช้าง ช้าง น้องเคยเห็นช้างหรือ ……”
- “จมูกยาว ๆ เรียกว่า …..”
🗸 คุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของวัน
ให้ใช้ประสบการณ์ของลูกโดยตรง เช่นการแต่งตัว หรือการช่วยทำอาหารกลางวัน เพื่อการฝึกซ้อมการมีบทสนทนา การผลัดกันถามและตอบกับคู่สนทนา- ให้ถ่ายรูปช่วงเวลาหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน นำมาให้ลูกดูรูปในช่วงหนึ่งของวันและพูดคุยตอบโต้กันไป-มาเกี่ยวกับช่วงเวลานั้นในภาพ
- ให้ลูกพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของวันให้อีกบุคคลหนึ่งในครอบครัว หรือเพื่อนฟัง โดยใช้ภาพเป็นตัวประกอบการบอกเล่า
🗸การเป็นต้นแบบในการผลัดกัน
คุณสามารถแสดงให้ลูกน้อยเห็นถึงการผลัดกันพูดในบทสนทนา ด้วยการเป็นต้นแบบตัวอย่างให้ลูกดู โดยทำกับบุคคลอีกคนหนึ่งในครอบครัวหรือทำด้วยตัวเอง เมื่อมีบุคคลอื่น “(ชื่อลูก) ลูกจะกินอะไรคะ” หากไม่มีการตอบสนอง ให้ถามแม่ “แม่ แม่จะกินอะไรคะ” แม่ตอบ “แม่ขอกินพิซซ่าค่ะ” หันไปหาลูกแล้วถามลูก “แม่จะกินพิซซ่า ลูกจะกินอะไรคะ” เมื่ออยู่กับลูกสองคน “ลูกจะกินอะไรคะ?” หากไม่มีการตอบสนอง ให้คุณผลัดมาพูดแล้วเป็นต้นแบบในการตอบ “แม่จะกินพิซซ่า ลูกจะกินอะไรคะ?”สร้างการฟัง ประกบเป็นแซนวิช
สร้างการฟัง ประกบเป็นแซนวิช ด้วยการเริ่มต้น และจบลงด้วยการใช้การฟังอย่างเดียว เหมือนนำการฟังมาเป็นขนมปังสองแผ่นประกบกันเป็นแซนวิช
ไส้ตรงกลางของแซนวิช คือเทคนิคใด ๆ ก็ได้ที่คุณจะนำมาใช้ เพื่อให้ลูกน้อยของคุณเกิดความเข้าใจในภาษา หรือเพื่อเสริมความสามารถในการฟังเสียงคำพูดที่แตกต่างกันในแต่ละคำ หรือวลี การนำเทคนิคอื่นๆ เข้ามาประกบกับการฟังโดยไม่มีการแนะหรือการช่วยเหลือใด ๆ ทำให้ลูกน้อยมีโอกาสที่จะฟังหลายครั้ง ซึ่งจะทำให้เขาเข้าใจได้ดีขึ้น กลยุทธ์นี้ บางครั้งเรียกว่า การฟังแบบแซนวิช กลยุทธ์นี้สามารถนำมาใช้ในการส่งเสริมความเข้าใจในภาษา และยังเสริมสร้างการพูดออกมาได้อีกด้วย การส่งเสริมความเข้าใจภาษา ใช้กลยุทธ์นี้เมื่อคุณคิดว่าลูกน้อยไม่เข้าใจสิ่งที่คุณกำลังพูด นำทางเขาโดยการพูดวลี หรือ ประโยคผ่านการฟังอย่างเดียว แล้วหากลูกไม่เข้าใจ คุณจะพูดซ้ำ เปลี่ยนคำพูดที่ใช้ หรือใช้การมอง เช่นแนะให้มอง หรือชี้ไปที่สิ่งที่กำลังพูดถึง ติดตามด้วยการพูดซ้ำอีกครั้งด้วยการใช้การฟังอย่างเดียวรูปแบบการสอนนั้นเป็นอย่างไร?
ให้สังเกตเมื่อลูกน้อยไม่เข้าใจสิ่งที่คุณกำลังพูด คุณจะนำกลยุทธ์ การฟัง ประกบเป็นแซนวิชมาใช้ได้ โดยเริ่มต้นด้วยการพูด โดยลูกน้อยจะใช้การฟังอย่างเดียว คุณจะออกคำสั่งว่า “ไปหยิบรองเท้ามาค่ะ” หากลูกน้อยดูงง หน้าตาไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูด- ให้คุณพูดซ้ำ และ เน้นคำที่สำคัญ “ไปหยิบ รองเท้า มาค่ะ”
- เปลี่ยนคำพูดที่ใช้ “ไปหยิบรองเท้า ที่ใช้กับเท้าลูกค่ะ”
- ให้ความช่วยเหลือทางการมองด้วยการมองไปที่รองเท้า แล้วชี้ไปที่รองเท้า
เมื่อคุณได้นำกลยุทธ์ การฟัง ประกบเป็นแซนวิช มาใช้ คุณกำลังช่วยให้ลูกน้อยของคุณ รู้คำศัพท์ใหม่ ๆ และเพิ่มเติมความเข้าใจในการใช้ภาษาอีกด้วย
สร้างการฟัง ประกบเป็นแซนวิช ด้วยการเริ่มต้น และจบลงด้วยการใช้การฟังอย่างเดียว เหมือนนำการฟังมาเป็นขนมปังสองแผ่นประกบกันเป็นแซนวิช
ไส้ตรงกลางของแซนวิช คือเทคนิคใด ๆ ก็ได้ที่คุณจะนำมาใช้ เพื่อให้ลูกน้อยของคุณเกิดความเข้าใจในภาษา หรือเพื่อเสริมความสามารถในการฟังเสียงคำพูดที่แตกต่างกันในแต่ละคำ หรือวลี การนำเทคนิคอื่นๆ เข้ามาประกบกับการฟังโดยไม่มีการแนะหรือการช่วยเหลือใด ๆ ทำให้ลูกน้อยมีโอกาสที่จะฟังหลายครั้ง ซึ่งจะทำให้เขาเข้าใจได้ดีขึ้น กลยุทธ์นี้ บางครั้งเรียกว่า การฟังแบบแซนวิช กลยุทธ์นี้สามารถนำมาใช้ในการส่งเสริมความเข้าใจในภาษา และยังเสริมสร้างการพูดออกมาได้อีกด้วย การส่งเสริมความเข้าใจภาษา ใช้กลยุทธ์นี้เมื่อคุณคิดว่าลูกน้อยไม่เข้าใจสิ่งที่คุณกำลังพูด นำทางเขาโดยการพูดวลี หรือ ประโยคผ่านการฟังอย่างเดียว แล้วหากลูกไม่เข้าใจ คุณจะพูดซ้ำ เปลี่ยนคำพูดที่ใช้ หรือใช้การมอง เช่นแนะให้มอง หรือชี้ไปที่สิ่งที่กำลังพูดถึง ติดตามด้วยการพูดซ้ำอีกครั้งด้วยการใช้การฟังอย่างเดียวรูปแบบการสอนนั้นเป็นอย่างไร?
ให้สังเกตเมื่อลูกน้อยไม่เข้าใจสิ่งที่คุณกำลังพูด คุณจะนำกลยุทธ์ การฟัง ประกบเป็นแซนวิชมาใช้ได้ โดยเริ่มต้นด้วยการพูด โดยลูกน้อยจะใช้การฟังอย่างเดียว คุณจะออกคำสั่งว่า “ไปหยิบรองเท้ามาค่ะ” หากลูกน้อยดูงง หน้าตาไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูด- ให้คุณพูดซ้ำ และ เน้นคำที่สำคัญ “ไปหยิบ รองเท้า มาค่ะ”
- เปลี่ยนคำพูดที่ใช้ “ไปหยิบรองเท้า ที่ใช้กับเท้าลูกค่ะ”
- ให้ความช่วยเหลือทางการมองด้วยการมองไปที่รองเท้า แล้วชี้ไปที่รองเท้า
เมื่อคุณได้นำกลยุทธ์ การฟัง ประกบเป็นแซนวิช มาใช้ คุณกำลังช่วยให้ลูกน้อยของคุณ รู้คำศัพท์ใหม่ ๆ และเพิ่มเติมความเข้าใจในการใช้ภาษาอีกด้วย
การเสริมสร้างการพูดออกมา
ใช้กลยุทธ์เดียวกันนี้เมื่อลูกน้อยของคุณมีอุปสรรคในการออกเสียงคำบางคำ หรือวลีบางวลี ขั้นแรก คุณพูดคำ หรือวลีนั้น โดยให้ลูกน้อยใช้การฟังอย่างเดียว แล้วคุณก็ทำการเน้นเสียง เพื่อย้ำเน้นเสียงเฉพาะเสียง หรือคำเฉพาะคำและคุณจบท้ายด้วยการพูดคำหรือวลีเดิมซ้ำอีกครั้ง โดยให้ลูกน้อยใช้การฟังอย่างเดียว ให้สังเกตุเมื่อลูกน้อยพูดออกเสียงคำไม่ถูกต้อง หรือมีอุปสรรคในการออกเสียงคำพูดบางคำรูปแบบการสอนนั้นเป็นอย่างไร?
เมื่อคุณสังเกตเห็นว่าลูกน้อยพูดคำบางคำไม่ชัด หรือมีอุปสรรคการพูดคำบางคำ ให้คุณสร้างการฟัง ประกบเป็นแซนวิช โดยเริ่มด้วยการใช้การฟังอย่างเดียว และเน้นคำที่เขามีปัญหา เวลาคุณกำลังอ่านนิทานเกี่ยวกับเสือ ลูกน้อยพูดว่า ”ผมเห็นเอื๋อ“- ให้ใช้การเน้นคำเพื่อการย้ำเสียง /ส/ ในคำว่า เสือ คุณจะพูดว่า “ใช่ แม่เห็นเสือ”
- เอนตัวให้ใกล้ลูกน้อย แล้วพูดอีกว่า “ฟังนะ! สสสสสสสเสือ”
- รอให้ลูกพูดตามคุณว่า “สสสสเสือ”
เมื่อคุณได้นำกลยุทธ์การฟัง ประกบเป็นแซนวิชมาใช้ คุณกำลังช่วยให้ลูกน้อยของคุณได้ยินเสียงคำพูดอย่างชัดเจนขึ้น และได้ใช้เสียงในคำพูด หรือ วลีเพื่อให้เขาสามารถพัฒนาทักษะทางภาษาได้ดีขึ้น
เมื่อคุณพยายามจะทำผิดเพื่อให้เกิดอาการประหลาดใจ หรือทำสิ่งที่ลูกน้อยไม่คาดคิดมาก่อน คุณกำลังใช้กลยุทธ์การแกล้งทำผิด
คุณจะใช้กลยุทธ์นี้ในช่วงการทำกิจวัตรประจำวัน ในช่วงเวลาเล่น หรือในช่วงเวลาการอ่านนิทาน มันเป็นกลยุทธ์ที่มีลูกเล่นเล็กน้อย และใช้การแสดงออกทางอารมณ์มากมาย แต่มันคือการเรียนรู้ทางภาษา เริ่มต้นสร้างความประหลาดใจในช่วงกิจวัตรประจำวัน เพื่อให้ลูกน้อยได้ฝึกการแสดงความต้องการ และการตั้งคำถาม ใช้คำศัพท์ แก้ไขปัญหา และใช้การพูด รอให้ลูกน้อยได้สังเกตเห็นความผิดปกติ แล้วคอยดูว่าบทสนทนาใดจะเกิดขึ้นตามมาบ้างรูปแบบการสอนนั้นเป็นอย่างไร?
กิจวัตรการเลือกเสื้อผ้า ให้ลูกเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ในวันรุ่งขึ้น นำมาวางเข้าชุดตามที่ลูกเลือก ตั้งแต่เสื้อ กางเกง รองเท้า ถุงเท้า ฯลฯ พอลูกไม่ได้สนใจจุดนี้แล้ว คุณแกล้งเปลี่ยนของ ในตอนเช้า ลูกจะพบกางเกงแม่มาวางคู่กับเสื้อของเขา! หรือมีรองเท้าข้างเดียว แต่มีถุงเท้าสามชิ้น ดูว่าเขาจะพูดว่าอะไร กิจวัตรในมื้ออาหาร ตรงที่นั่งของลูก วางอะไรให้ขาดหายไปที่เป็นส่วนสำคัญสำหรับมื้ออาหารนั้น ได้แก่ ช้อน พออาหารลงจานพร้อมแล้ว รอว่าลูกจะขอช้อนไหม หรือให้ช้อนอันโตผิดขนาด แล้วดูว่าลูกจะทำอย่างไร กิจวัตรการอ่านนิทาน เลือกหนังสือที่ลูกคุ้นเคย โดยเฉพาะหนังลือที่เขารู้จักคำต่าง ๆ ในนั้นได้ดี ในขณะที่คุณกำลังอ่านออกเสียง ให้คุณแกล้งอ่านผิด ”หนอนมันกินแอปเปิ้ลไปลูกหนึ่งแล้ว แต่มันก็ยัง กระหายน้ำ อยู่“ ให้สังเกตว่าลูกรู้หรือไม่ว่าคุณใช้คำพูดผิด?เมื่อคุณสร้างการสับสนในกิจวัตรประจำ ๆ ลูกสังเกตเห็นหรือไม่? เขามีปฏิกิริยาอย่างไร? ภาษาที่เขาใช้นั้นมีอะไรบ้าง? เมื่อคุณ แกล้งทำผิด คุณกำลังช่วยลูกคุณพัฒนาความคิด และทักษะการใช้ภาษาพูด เพื่อการกระตุ้นการเรียนรู้ด้วยตัวเขาเอง
พาเขาไปให้ไกลขึ้น
คุณสามารถใช้กลยุทธ์นี้เมื่อเล่าเรื่องราวที่พบเห็นมาให้ลูกฟัง- ทำเรื่องให้ดราม่าและแสดงออกให้มากเวลาเล่าเรื่อง “ลูกจะไม่เชื่อเลยว่าแม่ไปได้ยินเรื่องอะไรมา! แม่ได้ยินแล้ว มันดูวุ่นวายมาก แล้วตอบจบนะมันก็มีเรื่องให้ประหลาดใจอีกด้วย!”
- หยุด แล้วรอ ให้ลูกถามว่า “อะไร มันเกิดอะไรขึ้น?”
- คุณจะเพิ่มรายละเอียดและคำชี้แนะลงไป “คืองี้ มีสัตว์ที่อาศัยอยู่นอกบ้านนะ วิ่งเข้าไปในบ้านคนนึง! มันเป็นสัตว์ที่มีหางฟู ๆ ชอบวิ่งขึ้น ลงต้นไม้ ชอบเก็บเมล็ดต่างๆ ของต้นไม้ มันวิ่งขึ้นไปที่ห้องชั้นบนของบ้านคนนี้! ลูกรู้ไหมว่าสัตว์นี้มันคืออะไร?”
- รอให้ลูกเดาคำตอบ “มันคือกระรอกไหมครับ?”
- คุณเล่าเรื่องต่อ เพิ่มความน่าสงสัยให้เข้มข้นขึ้นอีก “กระรอกนี้มันขึ้นไปบนบ้านชั้นบนนะ แล้วมันสร้างปัญหาใหญ่โตมากเลย”
- หยุด และ รอให้ลูกถามต่อ “ปัญหาอะไรครับ?”
- คุณก็จะคุยฟุ้งสร้างเรื่องราวไป โดยจบการเล่าเรื่องด้วยการทวนเรื่องราวตามขั้นตอนอีกรอบ
- เป็นต้นแบบ หรือพูดออกมาเป็นประโยคเต็มรูปแบบ หรือประโยคคำถามเต็มรูปแบบ จะช่วยให้ลูกผูกประโยคได้ดีขึ้น หรือสร้างประโยคคำถามได้ดีขึ้น
- ขยายคำศัพท์ของเขาด้วยการใช้คำที่แตกต่างกันแต่มีความหมายเดียวกัน
- กระตุ้นความคิดของเขาด้วยการซักถาม หรือบอกเรื่องราวเพื่อเพิ่มข้อมูลใหม่ ๆ เป็นการขยายข้อมูลจากสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่ การเชื่อมโยงสิ่งที่เขาคุ้นเคยกับสิ่งใหม่ ๆ จะช่วยให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้มากขึ้น
รูปแบบการสอนนั้นเป็นอย่างไร?
- หากลูกน้อยพูดว่า “บอล” คุณจะขยายคำให้ยาวขึ้น แล้วพูดว่า “ใช้ ลูกมีบอลลูกใหญ่มาก กลิ้งไป กลิ้งมาได้” เมื่อลูกคุณโตขึ้นมาอีกนิด พูดว่า “หนูอยากได้ลูกบอลอันนั้น” คุณจะเพิ่มคำลงไป เพื่อขยายให้ความยาวของคำนั้นเพิ่มขึ้น โดยพูดว่า “ลูกพูดได้นะว่า หนูอยากได้ลูกบอลอันใหญ่ สีแดงอันนี้” แล้วหยุด มองลูกแบบมีความคาดหวังให้ลูกพูดคำยาว ๆ ออกมาว่า “หนูอยากได้ลูกบอลอันใหญ่ สีแดงอันนี้”
- ขยายคำศัพท์ให้กับลูกโดยการใช้วลีที่ให้ความหมายเดียวกัน หากลูกพูดว่า “บ้ายบาย” คุณสามารถตอบกลับได้ว่า “แล้วพบกัน” หรือ “ขอกลับก่อน” หากลูกพูดว่า “หนูเห็นแมลงตัวใหญ่” คุณจะพูดว่า “ใช่ แมลงตัวยักษ์มาก – มันคือตั๊กแตน แต่ตั๊กแตนตัวนี้ใหญ่มหึมามาก ตั๊กแตนชอบกระโดด”
- หากคุณชอบพูดคุยเกี่ยวกับต้นไม้และการปีน คุณสามารถขยายหัวข้อโดยการเล่าประสบการณ์ส่วนตัวของคุณเอง “มีครั้งนึงตอนแม่ยังเล็ก แม่ปีนต้นไม้ที่สูงมาก แล้วแม่ตกลงมา แม่แขนหักเลย” พูดคุยกับลูกมาก ๆ เกี่ยวกับประสบการณ์ส่วนตัวของคุณ รวมถึงความรู้สึก หรือเชื่อมโยงกับเรื่องในครั้งที่ลูกคุณบาดเจ็บ
เมื่อคุณใช้กลยุทธ์ เพิ่มเติมจากสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ คุณกำลังสร้างความคาดหวังให้สูงขึ้น พร้อมกับการส่งเสริมความเข้าใจในภาษาของลูกคุณ คุณยังได้เสริมส่งทักษะการมีอิสระทางความคิดให้กับลูกอีกด้วย ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ลูกกลายเป็นคู่สนทนาที่เยี่ยมยอดได้อีกด้วย
มันเป็นเรื่องของลูกทั้งหมด เมื่อเราพูดว่า “มันเป็นเรื่องของหนูทั้งหมด” เรากำลังหมายถึงลูกของคุณ ให้ใช้กลยุทธ์นี้ เพื่อทำให้การเล่าเรื่องราว และในช่วงการเล่นเป็นช่วงของเขา
เด็ก ๆ มักขะชอบมากเมื่อหัวข้อในการสนทนานั้นเกี่ยวกับตัวเขา สิ่งนี้จะทำให้เขาเกิดความสนใจ นอกจากนั้น มันยังทำให้บทสนทนาสนุกขึ้นอีกด้วย คุณสามารถใช้ชื่อเขา หรือชื่อบุคคลในครอบครัว ในบทเพลง หรือในเรื่องราว คุณยังสามารถเชื่อมโยงประสบการณ์ในอดีตของลูกคุณกับสิ่งที่เขากำลังเล่นอยู่ หรือสิ่งที่เขาทำที่โรงเรียน หรือสิ่งที่เขากำลังอ่านอยู่ การกระทำนี้จะเป็นการเตือนความคิดของเขา ช่วยด้านความจำ และยังเปิดโอกาสให้เขาพูดเกี่ยวกับตัวเอง กับสิ่งที่เคยทำในอดีตมาแล้วด้วยรูปแบบการสอนนั้นเป็นอย่างไร?
- อ่านหนังสือของ บิล มาร์ติน “บราวน์แบร์ บราวน์แบร์ เธอเห็นอะไร?” แล้วคุณเปลี่ยนชื่อให้กลายเป็นเฉพาะบุคคลมากขึ้น
- อ่าน “บราวน์แบร์ บราวน์แบร์ เธอเห็นอะไร?” ฉันเห็นกบสีเขียวกำลังมองฉัน
- ลอง “ข้าวสวย ข้าวสวย หนูเห็นอะไร? หนูเห็นคุณยายกำลังมองหนู คุณยาย คุณยาย คุณยายเห็นอะไร? ยายเห็นป่าป๊ากำลังมองยาย”
- เมื่อคุณกำลังเล่นบทบาทสมมุติ ให้ใช้ชื่อของคนที่ลูกรู้จักและชื่อตุ๊กตาที่ลูกชอบเข้ามาอยู่ในบริบท
- หากคุณมีบทบาทสมมุติเรื่องการปิ๊กนิ๊ค คุณอาจจะพูดว่า “แม่มีจาน ลูกก็มีจาน เราเอาอีกจานไปให้ออโต้ด้วย เอาจาน เอาช้อนให้ออโต้ แล้วอันนี้คือจานของฟ้าใส ฟ้าใสต้องการจะกินด้วย”
- เชื่อมโยงประสบการณ์ในอดีตเข้าไปในการอ่านที่คุณกำลังอ่านด้วยกันกับลูก
- เมื่อกำลังอ่านนิทานเกี่ยวกับสวนสัตว์ คุณพูดว่า “แม่เห็นนกยูง! จำได้ไหมคะ ว่าเราเคยเห็นนกยูงที่สวนสัตว์? นกยูงมันกางหางออกมากลายเป็นใบพัดมีขน ขนาดใหญ่! ลูกชอบขนสวย ๆ ของมัน”
เวลาคุณนำกลยุทธ์ มันเป็นเรื่องของลูกทั้งหมด มาใช้ คุณกำลังเตรียมลูกให้พูดมากขึ้นเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขากับบุคคลอื่นพร้อมไปกับการมีส่วนร่วมในการสนทนา
ช่วยลูกแต่อย่าบอกลูก หมายความว่าคุณจะแนะให้ลูกเพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้ใช้ความคิด และนำเหตุผลมาใช้ เพื่อที่จะสร้างทักษะการฟัง และการใช้ภาษาได้มากยิ่งขึ้น
ในบางครั้ง วิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้คือการลงมือกระทำเอง แทนที่จะบอกให้ปฏิบัติตาม คุณเพียงชี้แนะให้กับลูก วิธีนี้จะช่วยให้เขาได้ใช้ความคิด นำความคิดมาแก้ปัญหาเพื่อค้นหาคำตอบด้วยตนเอง ในกลยุทธ์นี้ คุณเพียงให้ตัวชี้แนะที่หลากหลาย หรือให้ข้อมูล ตัวอย่างเช่น:- แนะกลุ่ม หรือ ประเภทของสิ่งนั้น
- แนะคำที่คล้องจอง
- แนะนำอะไรที่เป็นสิ่งตรงกันข้าม
- แนะโดยใช้คำอธิบายของสิ่งนั้น
รูปแบบการสอนนั้นเป็นอย่างไร?
- แนะกลุ่ม หรือประเภทของสิ่งนั้นพร้อมคำอธิบาย แล้วขอให้ลูกตอบ
- “สิ่งนี้คือสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้ในฟาร์ม ผลิตน้ำนมได้ มีเขาด้วย ลูกคิดว่าสัตว์นี้คืออะไร?”
- หากลูกยังไม่สามารถคาดเดาได้ ให้ลองอีกครั้ง โดยให้ตัวแนะที่แตกต่างจากตัวแรก ให้ตัวแนะที่ลูกรู้ “มันร้องเสียง มู ”
- แนะคำคล้องจอง หรือ คำตรงกันข้าม เพื่อเป็นตัวช่วยให้ลูกเดาได้
- “โอ้ สัตว์ตัวนี้ คำที่เรียกคล้ายกับคำว่า หู ออกเสียง /ม/ ลูกรู้ไหมว่าสัตว์นี้คืออะไร?”
- ให้ตัวอย่างจากสิ่งที่อยู่ในประเภทเดียวกัน
- “ฟังค่ะ แอปเปิ้ล กล้วย ส้ม อยู่ในกลุ่มสิ่งของประเภทใด?”
- หากลูกยังเดาไม่ออก ช่วยมีตัวเลือกเพิ่มเติมให้กับเขา “มันคือกลุ่มของสัตว์ หรือ ว่ากลุ่มของผลไม้?”
เมื่อคุณใช้กลยุทธ์ ช่วยลูกแต่อย่าบอกลูก คุณกำลังสร้างความมั่นใจให้กับลูกในเรื่องของทักษะการฟังและการใช้ภาษา วิธีนี้ยังช่วยส่งเสริมการใช้ความคิดด้วยตนเองอีกด้วย
กลยุทธ์ลูกได้ยินอะไร หมายความว่า ให้คุณถามลูกน้อยว่าลูกได้ยินอะไร แทนการพูดซ้ำ
ส่งเสริมให้ลูกเป็นผู้ฟังที่ดีขึ้น พร้อม ๆ กับการเสริมความมั่นใจในการทักษะการได้ยินของเขา หากลูกคุณไม่มั่นใจสิ่งที่ผู้อื่นพูดหรือดูว่าจะไม่เข้าใจเลย เขาอาจจะถาม “ห๊ะ?” หรือตอบว่า “อะไรนะ?” ให้คุณถามเขาว่า “ลูกได้ยินอะไร?” ส่วนใหญ่แล้ว ลูกคุณจะได้ยินบางส่วนของข้อความ การที่คุณถามเขา คุณจะได้ทราบว่าข้อมูลใดที่ควรจะพูดซ้ำ หรือ ลูกอาจจะนึกได้ด้วยตนเองว่าสิ่งที่ได้ยินคืออะไร การใช้กลยุทธ์นี้ จะช่วยส่งเสริมให้ลูกของคุณตั้งใจฟังตั้งแต่ครั้งแรก เมื่อมีผู้อื่นมาพูดคุย หรือถามคำถาม ลูกคุณจะเกิดความมั่นใจในความสามารถในการฟังของเขา คุณจะได้เรียนรู้พฤติกรรมการฟังของเขาเพื่อมาแลกเปลี่ยนให้กับครูหรือนักกระตุ้นพัฒนาการฝึกพูดผ่านทักษะการฟังอีกด้วยรูปแบบการสอนนั้นเป็นอย่างไร?
-
- เมื่อคุณถาม “ลูกอยากไปทานมื้อกลางวันที่ไหนดี?” แล้วลูกตอบกลับมาว่า “ห๊ะ?”
- อย่าพึ่งทวนคำถามซ้ำโดยอัตโนมัติ แต่ให้ถามกลับว่า “ลูกได้ยินอะไร?”
- ลูกอาจจะตอบมาโดยถามกลับ “มื้อกลางวันเหรอ?” คุณจะส่งเสริมเขาได้ด้วยการพูดว่า “ฟังดีมากค่ะ! แม่ถามว่า ลูกอยากไปทานมื้อกลางวันที่ไหนดี?“
เมื่อคุณใช้กลยุทธ์ ลูกได้ยินอะไร คุณกำลังช่วยให้มีความมั่นใจในการฟัง การพูด และการคิด มากขึ้น เมื่อลูกได้มีความรู้ทางภาษาเพิ่มมากขึ้น เขาจะเริ่มที่จะเติมคำลงไปในประโยคที่มีคนพูดกับเขา ใช้คำแนะในบริบทนั้น ถามคำถามเฉพาะที่จะได้รับคำแจกแจงในสิ่งที่เขาได้ยิน
กลยุทธ์นี้จะช่วยลูกคุณ
🗸 เรียนรู้ที่จะมั่นใจในการทักษะการฟังของตนเอง และไม่ถาม ”ห๊ะ?” หรือ “อะไรนะ?” ตลอดเวลา
🗸 พัฒนาทักษะความเป็นตัวเอง โดยการถามคำถามเฉพาะในข้อมูลที่เขาพลาดไป
🗸 เรียนรู้ที่จะตั้งใจฟังตั้งแต่ประโยคแรกที่มีคนมาพูดด้วย


